เป็นค่าลดหย่อนที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในปีนี้ โดยกำหนดให้ผู้ที่มีเงินได้หรือคู่สมรส สามารถนำค่าใช้จ่ายฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ โดยมีเงื่อนไขคือ
• เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลอันเนื่องมาจากการตั้งครรภ์และคลอดบุตร ไม่ว่าจะเป็นค่าตรวจครรภ์ รับฝากครรภ์ ค่าบำบัดทางการแพทย์ ค่ายาและค่าเวชภัณฑ์ ค่าทำคลอด ค่ากินอยู่ในโรงพยาบาล
• นำมาหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง สูงสุดไม่เกินปีละ 60,000 บาท
• สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีกับค่าใช้จ่ายที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป
• หากเป็นค่าคลอดบุตรในการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในปีภาษีเดียวกัน เช่น ตั้งครรภ์ปี 2561 แต่คลอดปี 2562 จะได้รับสิทธิลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริงในปีที่ใช้ แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 60,000 บาท
เช่น ในปี 2561 จ่ายค่าฝากครรภ์ไปจำนวน 10,000 บาท ก็จะสามารถหักลดหย่อนภาษีปี 2561 ได้ 10,000 บาท ส่วนอีก 50,000 บาท สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเมื่อคลอดบุตรในปี 2562 ได้
• หากจ่ายค่าฝากครรภ์หรือคลอดบุตรหลายคราวในปีภาษีเดียวกัน สามารถลดหย่อนภาษีได้คราวละไม่เกิน 60,000 บาท
เช่น จ่ายค่าคลอดบุตรคนแรกในเดือนมกราคม 2561 จะสามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้มาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 60,000 บาท และถ้าหากในเดือนธันวาคม 2561 มีการตั้งครรภ์และฝากครรภ์บุตรคนที่ 2 อีก ก็จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมอีกตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท
• กรณีคลอดบุตรแฝด สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 60,000 บาท เนื่องจากเป็นการตั้งครรภ์คราวเดียว
• สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการตั้งครรภ์และคลอดบุตรมาหักลดหย่อนภาษีได้ ไม่ว่าทารกที่คลอดจะมีชีวิตรอดหรือไม่
• สามีสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีค่าคลอดบุตรได้ไม่เกิน 60,000 บาท หากภรรยาไม่มีเงินได้
• กรณีสามีและภรรยามีเงินได้ทั้งคู่ จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีค่าตั้งครรภ์และคลอดบุตรได้ 2 กรณีคือ
- สามี-ภรรยา แยกยื่นภาษี : ภรรยาจะเป็นผู้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 60,000 บาท ส่วนสามีไม่สามารถใช้สิทธิได้
- สามี-ภรรยา ยื่นรายการและเสียภาษีรวมกัน : ผู้ที่ยื่นภาษีสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 60,000 บาท
• สิทธิลดหย่อนภาษีดังกล่าว เมื่อนำไปรวมกับสิทธิการเบิกค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรจากสวัสดิการภาครัฐและเอกชน ต้องไม่เกิน 60,000 บาท
อธิบายง่าย ๆ ก็คือ หากใช้สิทธิเบิกค่าคลอดบุตรจากสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ / สิทธิประกันสังคม / สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมทั้งสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลที่ได้รับจากนายจ้างภาคเอกชนแล้ว จะสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้แค่ส่วนที่ยังไม่เกิน 60,000 บาทเท่านั้น
เอกสารหลักฐานที่นำมาใช้ยื่นภาษี
- ใบรับรองแพทย์
- ใบเสร็จรับเงิน หรือหลักฐานอื่นที่แสดงว่าได้จ่ายค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรให้แก่สถานพยาบาล
1. ประกันสังคม
เงินสมทบกองทุนประกันสังคมที่เราโดนหักกัน 5% ทุกเดือน ก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน โดยลดหย่อนได้ตามจริงเท่าที่จ่ายไป มีเพดานสูงสุดอยู่ที่ปีละ 9,000 บาท (คำนวณจากรายได้สูงสุดที่เดือนละ 15,000 บาท)
2. เบี้ยประกันชีวิต
สำหรับการขอลดหย่อนด้วยการซื้อประกันชีวิตนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 กรณีก็คือ
- ประกันชีวิตแบบทั่วไป
ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขคือ
• ต้องเป็นประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
• มีผลตอบแทนคืนไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสม (เงินปันผลหรือเบี้ยคืนรายปี)
• ต้องเป็นกรมธรรม์ที่ซื้อจากบริษัทประกันชีวิตที่ดำเนินกิจการในไทย
• หากเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี ถือว่าผิดเงื่อนไข จะไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
• หากเราซื้อประกันชีวิตให้คู่สมรสไว้ และคู่สมรสไม่มีรายได้ แต่ยังจ่ายเบี้ยประกันอยู่ ก็ยังสามารถนำเบี้ยประกันที่จ่ายไปมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 10,000 บาท
- ประกันชีวิตแบบบำนาญ
ลดหย่อนได้ 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยมีเงื่อนไขคือ
• ต้องเป็นประกันที่มีระยะเวลาเอาประกัน 10 ปีขึ้นไป
• ต้องเป็นกรมธรรม์ที่ซื้อจากบริษัทประกันชีวิตที่ดำเนินกิจการในไทย
• จ่ายผลตอบแทนให้ผู้เอาประกันตั้งแต่อายุ 55 ปีต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 85 ปี หรือมากกว่านั้น
• เมื่อรวมค่าเบี้ยประกันที่จ่ายให้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
หมายเหตุ
หากมีประกันชีวิตแบบทั่วไปอยู่แล้ว แต่ยังไม่ครบ 1 แสนบาท สามารถนำค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญไปรวมกับสิทธิลดหย่อนประกันชีวิตแบบทั่วไปได้ให้ครบ 1 แสนบาทก่อน ส่วนที่เหลือก็ยังสามารถนำมาลดหย่อนโดยใช้สิทธิเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญได้ 15% ของเงินได้ที่เสียภาษีแต่ไม่เกิน 200,000 บาท
3. เบี้ยประกันสุขภาพ
สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อปี แต่เมื่อรวมเบี้ยประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท โดยประกันสุขภาพที่นำมาลดหย่อนได้ มีดังนี้
• ประกันให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอันเกิดจากการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บ การชดเชยการทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ
• ประกันอุบัติเหตุเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก
• ประกันภัยโรคร้ายแรง
• ประกันภัยการดูแลระยะยาว
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ตรวจสอบกับบริษัทประกันก่อนว่า ประกันสุขภาพที่เราสนใจจะซื้อ หรือที่มีอยู่แล้วนั้นสามารถลดหย่อนภาษีได้หรือไม่
4. เบี้ยประกันสุขภาพบิดา-มารดา
ค่าเบี้ยประกันสุขภาพของบิดา-มารดาของผู้มีเงินได้ ก็สามารถหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยมีเงื่อนไขคือ
• บิดา-มารดาต้องไม่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ขอหักลดหย่อนเกิน 30,000 บาทขึ้นไป
• บิดาหรือมารดาต้องอยู่ในไทยไม่ต่ำกว่า 180 วันในปีภาษีนั้น
• ลูกที่จะใช้สิทธิต้องเป็นบุตรตามกฎหมายเท่านั้น บุตรบุญธรรมไม่สามารถใช้สิทธิได้
• ลูกสามารถใช้สิทธิได้หลายคน โดยหารเฉลี่ยกัน เช่น ลูก 2 คน ร่วมกันซื้อประกันสุขภาพให้บิดา จำนวน 15,000 บาท ดังนั้นลูกแต่ละคนสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพบิดาไปลดหย่อนภาษีได้คนละ 7,500 บาท
อย่างไรก็ตาม แบบประกันสุขภาพของบิดา-มารดาที่นำมาลดหย่อนภาษีได้จะต้องเป็นความคุ้มครองด้านใดด้านหนึ่งใน 4 ด้านเท่านั้น คือ
• คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล หรือจ่ายเงินชดเชย จากการเจ็บป่วยทั่วไป
• คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล หรือจ่ายเงินชดเชย จากกรณีอุบัติเหตุ
• คุ้มครองกรณีที่เป็นโรคร้ายแรง
• ประกันคุ้มครองการพยาบาลสำหรับการเจ็บป่วยระยะยาว (Long Term Care)
ทั้งนี้ หากบุตรหลายคนร่วมกันซื้อประกันสุขภาพให้บิดาหรือมารดา ก็สามารถนำมาหารเฉลี่ยเพื่อลดหย่อนภาษีได้ เช่น พี่น้อง 2 คน ซื้อเบี้ยประกันสุขภาพให้บิดา 15,000 บาท ก็จะนำมาหักลดหย่อนได้คนละ 7,500 บาท
5. กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ Long term equity fund (LTF)
อีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับนักลงทุนก็คือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF ซึ่งสามารถนำจำนวนเงินที่ซื้อกองทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15% ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และกำไรที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain) ก็ไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
ทั้งนี้ ได้มีการปรับเงื่อนไขการถือครอง LTF ใหม่ โดยผู้ที่ซื้อ LTF ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไป จะต้องถือครองไว้อย่างน้อย 7 ปี (หรือ 5 ปี 2 วัน) จากเดิม 5 ปี (หรือ 3 ปี 2 วัน) ซึ่งจะนับตามปี พ.ศ. เช่น ซื้อ LTF ปี 2561 จะต้องถือไว้จนถึงวันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นอย่างน้อย และไม่สามารถโอนหรือจำนำไปเพื่อเป็นหลักประกันได้
*ตัวอย่างการคำนวณลดหย่อนภาษีจาก LTF
เช่น ผู้มีรายได้สุทธิ 3 ล้านบาทต่อปี หากสมมติว่าเสียภาษีในอัตรา 30% เมื่อคำนวณแล้วจะเท่ากับ 9 แสนบาท แต่เมื่อซื้อกองทุน LTF 15% ของรายได้แล้ว จะสามารถซื้อกองทุน LTF ได้วงเงินสูงสุด 450,000 บาท จึงนำรายได้สุทธิ 3 ล้านนั้น หักลดหย่อนจากกองทุนออก 450,000 เท่ากับ 2,550,000 บาท ก็จะได้เงินสุทธิที่เหลือจริง แล้วจึงนำไปคำนวณการจ่ายภาษีที่ 2,550,000 X 30% = 765,000 บาท ซึ่งจะลดลงจากเดิมที่ต้องจ่ายภาษี 9 แสนบาท
6. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund หรือ RMF)
สำหรับคนที่อยากมีเงินออมไว้ใช้ในวัยเกษียณ การซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF เป็นอีกหนึ่งตัวช่วย พร้อมทั้งได้รับผลตอบแทนจากการลดหย่อนภาษีคือ หักลดหย่อนได้สูงสุด 15% ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
แต่ไม่ใช่ว่าจะหักลดหย่อนเท่าไรก็ได้ เพราะถ้าเรามีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน หรือประกันชีวิตแบบบำนาญแล้ว เมื่อนำมารวมกับเงินที่ซื้อหน่วยลงทุนใน RMF แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาทเช่นกัน
สามารถคิดได้ตามสูตร RMF + กบข. + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ + กองทุนครูโรงเรียนเอกชน + ประกันชีวิตแบบบำนาญ + กองทุนการออมแห่งชาติ รวมกันทั้งหมดต้องไม่เกิน 500,000 บาท
7. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
บริษัทบางแห่งตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้พนักงานได้เก็บออม โดยหักเงินจากพนักงานทุกเดือนแล้วบริษัทสมทบให้เป็นจำนวนเท่ากัน ดังนั้นหากเราเป็นคนหนึ่งที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็สามารถนำจำนวนเงินที่จ่ายไปตามจริง แต่ไม่เกินปีละ 10,000 บาท มากรอกลดหย่อนภาษีได้ ส่วนจำนวนเงินที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้ และไม่เกิน 490,000 บาท จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมกับเงินได้ที่ต้องเสียภาษี
และเช่นเดียวกัน เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อรวมกับ RMF, กบข., กองทุนครูโรงเรียนเอกชน, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
8. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
ข้าราชการที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เดือนละ 3% โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบเพิ่มให้อีก 3% ด้วยเช่นกัน สามารถนำเงินในส่วนที่เราจ่ายไปมาลดหย่อนภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และเมื่อรวมกับกองทุนอื่น ๆ ดังที่กล่าวไปแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
9. กองทุนครูโรงเรียนเอกชน
ครู-อาจารย์ก็สามารถนำเงินที่จ่ายเข้ากองทุนครูโรงเรียนเอกชนมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และเมื่อรวมกับ RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กบข., ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
10. กองทุนการออมแห่งชาติ
ผู้ที่เป็นสมาชิกและจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ โดยสามารถหักลดหย่อนภาษีจากเงินสะสมเข้า กอช. ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดก็คือปีละ 13,200 บาท แต่เมื่อรวมกับเงินสะสมกองทุนอื่น ๆ ข้างต้นที่กล่าวไปก็ต้องไม่เกินกว่า 500,000 บาทเหมือนกัน